รู้จัก Business Model Canvas
Business Model Canvas (BMC) คืออะไร?
BMC คือ แผนภาพหนึ่งแผ่นที่ฉายให้เห็นภาพรวมของธุรกิจ BMC นี้มีไว้เพื่อช่วยให้เจ้าของธุรกิจ สามารถตอบคำถามสำคัญของธุรกิจ 4 เรื่องคือ
- ทำสินค้าหรือบริการให้กับใคร
- ทำอะไร
- ทำอย่างไร
- ทำแล้วคุ้มค่าหรือไม่
ซึ่งการตอบคำถาม 4 เรื่องหลักนี้ จะถูกแยกเป็น 9 องค์ประกอบสำคัญ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.Customer segment (กลุ่มลูกค้า) : ลูกค้าของเราคือใคร เราไปช่วยใคร
ในช่องนี้จะพูดถึงการวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าว่าใครเป็นลูกค้าเรา กลุ่มลูกค้าเราเป็นวงกว้าง หรือกลุ่มเฉพาะ ปัญหาของลูกค้าเราคืออะไร ซึ่งต้องแยกระหว่าง “คนซื้อและคนใช้” เพราะสินค้าบางอย่างคนซื้อไม่ได้ใช้
และคนใช้ไม่ได้ซื้อ เช่น ของใช้เด็ก พ่อแม่จะเป็นผู้ซื้อ ผลิตภัณฑ์ต้องตอบโจทย์ผู้ใช้ แต่การสื่อสารเราจะสื่อสารกับผู้ซื้อ รวมไปถึงลูกค้าของเรามีพฤติกรรมแบบไหน อยู่กับสื่ออะไรเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องรู้หรือโปรเจค/โครงการที่ทำจะไปช่วยกลุ่มเป้าหมายไหนในเรื่องอะไรจะต้องวิเคราะห์ให้ชัดเจนเพื่อให้ตอบสนองต่อกลุ่มเป้าหมาย
โดยสามารถแบ่งกลุ่มเป้าหมายได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็น แบ่งกลุ่มตามความต้องการ พฤติกรรม พื้นที่หรือรูปแบบสินค้า เป็นต้น เพื่อให้ออกแบบสินค้า/บริการ ช่องทางการเข้าถึง เหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม
2.Value proposition (คุณค่าของสินค้าและบริการ) : เราให้อะไรกับลูกค้าหรือเราไปช่วยลูกค้าของเราในเรื่องใด
อะไรที่ทำให้ลูกค้าต้องเลือกสินค้าและบริการของเรา ในส่วนนี้สำคัญมาก เราต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าอะไรคือคุณค่าในสินค้าและบริการที่เราเลือกนำเสนอให้ลูกค้า ลูกค้าจะได้คุณค่าอะไรจากการยอมจ่ายให้เรา คุณค่า
ในสินค้าและบริการของเราเข้าไปแก้ปัญหา หรือตอบโจทย์ หรือส่งเสริมอะไรให้ลูกค้า เช่น ร้านขายผักแห่งหนึ่งขายแพงกว่าคู่แข่งในบริเวณเดียวกัน แต่ผักที่ขายเป็นสินค้าแบบออร์แกนิค ได้รับการรับรองว่าปลอดสารพิษ 100% สามารถย้อนกลับไปดูในกระบวนการผลิตได้ นี่คือคุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับหากเลือกร้านนี้ เริ่มต้นด้วยการหาคุณค่าในธุรกิจตัวเองให้เจอให้ได้
3.Channels (ช่องทางการเข้าถึงลูกค้า) : ลูกค้าเจอเราได้ช่องทางไหน
ช่องทางในซื้อขายและช่องทางในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า ลูกค้าเราเป็นแบบไหน ลักษณะธุรกิจเราเป็นอย่างไรการซื้อขายผ่านช่องทางใดจึงจะสะดวกมากที่สุด นอกจากนี้ช่องทางในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าก็ต้องเลือกให้ถูกต้องตรงจุดลูกค้าเราอยู่กับสื่อชนิดใด เราจะแจ้งข้อมูลสินค้า หรือบอกโปรโมชั่นกับลูกค้าผ่านสื่อใดจึงจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
4.Customer relationship (ความสัมพันธ์กับลูกค้า) : ทำอย่างไรให้ลูกค้าติดใจเรา
การสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเป็นหนึ่งเรื่องที่อาจมองข้ามกันได้ง่าย แต่เชื่อไหมว่านี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดการบอกต่อการซื้อซ้ำจนนำไปสู่การเป็นลูกค้าประจำ
5.Revenue streams (รายรับ) : รายได้
ช่องทางการเข้ามาของรายได้จะเข้ามาทางใดบ้าง เราจำเป็นต้องรู้ โดยมากจะมี 4 ประเภทได้แก่
1.จากค่าบริการ
2.จากการขายสินค้า
3.จากค่าเช่า
4.จากค่าอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธ์
โดยควรจะมองให้ลึกลงไปถึงขั้นว่าลูกค้าเราจะสะดวกจ่ายในรูปแบบใด เครดิตหรือเงินสด จ่ายผ่านช่องทางใด โอนผ่านธนาคาร เคาท์เตอร์เซอร์วิส หรือแคชเชียร์ ต้องสอดประสานกับสินค้าและบริการของเรา และเชื่อมโยงกับลูกค้า นอกจากนั้นรายรับของเรายังแบ่งได้เป็น 2 ส่วนขึ้นอยู่กับการตั้งเงื่อนไขของเจ้าของผลิตภัณฑ์เอง คือ ราคาคงที่ และราคาไม่คงที่
6.Cost structure (รายจ่าย ต้นทุน) : รายจ่าย
ต้นทุนมีหลายประเภท ต้นทุนที่แบ่งตามวัตถุประสงค์จะมี 2 ประเภทคือ ทุนเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษาเรื่องจักร ค่าเช่าสำนักงาน ฯลฯ และอีกประเภทหนึ่งคือ ทุนเพื่อเพิ่มคุณค่าให้ธุรกิจ เช่น งบโฆษณา งบเช่าพื้นที่พิเศษเพื่อลูกค้าของตนเองตามห้างสรรพสินค้า งบลงข่าวประชาสัมพันธ์ ฯลฯ
7.Key resources (ทรัพยากรหลัก) : เราต้องใช้อะไร
ทรัพยากรที่สำคัญกับธุรกิจเรา ทรัพยากรในที่นี้หมายรวมทั้ง คน เครื่องจักร เงินทุน ทรัพย์สินทางปัญญา ที่ดิน ฯลฯ สิ่งที่เราควรเขียนในช่องนี้ควรจะแยกเป็น 2 ส่วนคือ ทรัพยากรส่วนที่เรามีอยู่ และ ทรัพยากรส่วนที่เราต้องมี การมองหาทรัพยากรเราต้องย้อนกลับไปดูว่าลูกค้าของเราคือใคร อะไรคือคุณค่าที่เราจะนำเสนอแก่ลูกค้า และทรัพยากรของเราจะสามารถสร้างคุณค่านั้น ๆ ได้หรือไม่ อย่างไร
8.Key activities (กิจกรรมหลัก) : เราต้องทำอะไร
กิจกรรมหลักที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ หรือก็คือในธุรกิจของเรา อะไรคือหน้าที่ที่เราต้องท าบ้าง ซึ่งแต่ละธุรกิจก็จะมีหน้าที่หลักแตกต่างกันไป เช่น ธุรกิจปลูกผักออร์แกนิค หน้าที่หลักที่เราจะเขียนลงไปในช่อง Key Activities คือ ปลูกผัก ดูแลผักให้ปลอดสารพิษ คัดเลือกเมล็ดพรรณ เป็นต้น
9.Key partners (ผู้ร่วมงานหลัก) : ใครจะมาเป็นตัวช่วยเรา
มีหลายสิ่งในกระบวนการทำธุรกิจที่เราจำเป็นต้องพึ่งพาผู้อื่น เพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างลุล่วงpartners คือ กลุ่มคนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจของเรา อาจจะเรียกว่าคู่ค้าหรือผู้ช่วยเหลือ ข้อดีของการมี partners คือ กลุ่มคนเรานี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำธุรกิจ ช่วยกระจายความเสี่ยง และทำให้เราไม่ต้องดำเนินการทุกอย่างด้วยตัวเอง ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาให้เรามาโฟกัสเรื่องสำคัญ ๆ ได้ เช่น itd , ธกส. ,ธนาคาร SME เป็นต้น
ที่มา : https://www.live-platforms.com/
https://www.itd.or.th/
https://www.strategyzer.com/